สาลิกาดงเหินฟ้า! นิวคาสเซิล สร้างตำนานหน้าใหม่ด้วยการเฉือนชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 คว้าแชมป์คาราบาว คัพ สมัยแรกในประวัติศาสตร์ 132 ปีของสโมสร
วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2568 – ความฝันกลายเป็นจริงสำหรับแฟนบอล “สาลิกาดง” เมื่อ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด สร้างผลงานอันน่าจดจำด้วยการเอาชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 ในการแข่งขันฟุตบอลคาราบาว คัพ รอบชิงชนะเลิศ ณ สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ นับเป็นถ้วยรางวัลใหญ่รายการแรกของสโมสรในรอบ 69 ปี และเป็นแชมป์ลีก คัพ สมัยแรกในประวัติศาสตร์
ครึ่งแรก: สาลิกาดงโชว์ฟอร์มดุ ขึ้นนำจากลูกโหม่งของเบิร์น
นิวคาสเซิล เริ่มเกมได้อย่างคึกคัก โดยเป็นฝ่ายควบคุมจังหวะและโหมบุกอย่างหนักตั้งแต่นาทีแรก ขณะที่ ลิเวอร์พูล ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นตัวเต็งของเกมนี้กลับทำเกมรุกได้ไม่คมเท่าที่ควร
นาทีที่ 23 “สาลิกาดง” มีโอกาสทำประตูครั้งแรกจากจังหวะที่ ซานโดร โตนาลี่ มิดฟิลด์ทีมชาติอิตาลี ได้บอลบริเวณกลางสนาม ก่อนจะลากบอลหลบกองหลัง “หงส์แดง” เข้าในและซัดด้วยขวาทันที แต่บอลพุ่งหลุดเสาออกไปอย่างน่าเสียดาย
นิวคาสเซิล ยังคงเดินหน้าบุกอย่างต่อเนื่อง และมาได้โอกาสทองในนาทีที่ 35 จากจังหวะลูกเตะมุม คีแรน ทริปเปียร์ กัปตันทีมเปิดบอลโด่งเข้าเขตโทษให้ แดน เบิร์น กองหลังวัย 31 ปี โหม่งตั้งบอลให้ บรูโน่ กิมาไรส์ เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งโขกในระยะเผาขน แต่ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ผู้รักษาประตูของลิเวอร์พูลยังพุ่งรับเข้ามือได้อย่างเหลือเชื่อ
จนกระทั่งนาทีที่ 45 “สาลิกาดง” มาได้ประตูขึ้นนำจนได้ จากจังหวะลูกเตะมุมอีกครั้ง เมื่อ ทริปเปียร์ เปิดบอลเข้าไปในเขตโทษอย่างแม่นยำ และคราวนี้ แดน เบิร์น โฉบมาเทคตัวโหม่งอย่างสวยงาม บอลพุ่งเสียบโคนเสาเข้าไปอย่างเด็ดขาด ส่งให้ นิวคาสเซิล นำ 1-0 พร้อมกับหมดเวลาการแข่งขันในครึ่งแรก
ครึ่งหลัง: อิซักซัดเพิ่ม หงส์แดงตีไข่แตกในช่วงทดเวลา
เริ่มครึ่งหลัง นิวคาสเซิล ยังคงแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะคว้าชัยชนะ และมาได้ประตูที่สองในนาทีที่ 53 จากการสร้างสรรค์เกมรุกทางฝั่งซ้าย ก่อนที่บอลจะถูกเปิดโด่งเข้าเขตโทษ เจค็อบ เมอร์ฟี่ ปีกดาวรุ่งขึ้นโหม่งตั้งบอลให้ อเล็กซานเดอร์ อิซัก กองหน้าทีมชาติสวีเดน กดด้วยขวาอย่างเฉียบคม บอลพุ่งเสียบเสาเข้าไปอย่างสวยงาม ส่งให้ นิวคาสเซิล หนีห่าง 2-0
ด้านลิเวอร์พูล พยายามเร่งเครื่องเพื่อทำประตูไล่ และมีโอกาสชัดเจนในนาทีที่ 59 จากจังหวะที่ เคอร์ติส โจนส์ ตัวสำรองที่เพิ่งถูกส่งลงสนามได้ซัดบอลเต็มข้อจากนอกเขตโทษ แต่ นิค โป๊ป นายทวารของ “สาลิกาดง” ยังพุ่งปัดบอลออกหลังได้อย่างยอดเยี่ยม
เกมดำเนินมาจนถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 90+4 “หงส์แดง” มาได้ประตูตีไข่แตกจากจังหวะสวนกลับที่ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ จ่ายบอลทะลุช่องให้ เฟเดริโก้ เคียซ่า ตัวสำรองที่เพิ่งย้ายมาจากยูเวนตุสในเดือนมกราคม หลุดเดี่ยวเข้าไปยิงด้วยซ้ายซุกก้นตาข่ายอย่างเยือกเย็น ลิเวอร์พูล ไล่มาเป็น 1-2
อย่างไรก็ตาม เวลาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอสำหรับ “หงส์แดง” ที่จะทำประตูตีเสมอ จบเกม นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เฉือนชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 คว้าแชมป์ลีก คัพ หรือคาราบาว คัพ ได้เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ท่ามกลางความปลื้มปีติของแฟนบอล “สาลิกาดง” ที่รอคอยความสำเร็จนี้มานาน
วิเคราะห์หลังเกม: นิวคาสเซิลสมควรคว้าชัย
ชัยชนะในครั้งนี้ถือเป็นการตอบแทนความอดทนของแฟนบอลนิวคาสเซิลที่รอคอยถ้วยรางวัลใหญ่มานานถึง 69 ปี นับตั้งแต่คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ เมื่อปี 1955 การคว้าแชมป์คาราบาว คัพ 2024-25 ยังเป็นการยืนยันถึงความก้าวหน้าของสโมสรภายใต้การบริหารของกลุ่มทุนจากซาอุดิอาระเบีย ที่เข้ามาซื้อกิจการเมื่อปี 2021
ด้านเกมการแข่งขัน นิวคาสเซิล แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น การเล่นเป็นทีม และแท็คติกที่เหนือกว่า พวกเขาสามารถควบคุมเกมได้เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรก ซึ่งต่างจาก ลิเวอร์พูล ที่ดูเหมือนจะขาดความคมในเกมรุก แม้จะมีผู้เล่นคุณภาพอย่าง ซาลาห์, ดิอาซ และ โชต้า อยู่ในสนามก็ตาม
นอกจากนี้ ฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ แดน เบิร์น ที่ทั้งทำประตูและช่วยทีมในเกมรับได้อย่างแข็งแกร่ง รวมถึงผลงานของ บรูโน่ กิมาไรส์ และ อเล็กซานเดอร์ อิซัก ที่ร่วมกันสร้างความปั่นป่วนให้กับแนวรับของ “หงส์แดง” ตลอดทั้งเกม ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “สาลิกาดง” คว้าชัยชนะได้ในที่สุด
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล (4-2-3-1): ควีวิน เคลเลเฮอร์ – จาเรลล์ ควอนซาห์, อิบราฮิมา โกนาเต้, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, ไรอัน กราเฟนแบร์ค – โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โดมินิค โซบอซไล, หลุยส์ ดิอาซ – ดีโอโก้ โชต้า
นิวคาสเซิล (4-3-3): นิค โป๊ป – คีแรน ทริปเปียร์, ฟาเบียน แชร์, แดน เบิร์น, ติโน่ ลิฟราเมนโต้ – บรูโน่ กิมาไรส์, ซานโดร โตนาลี่, โชลินตอน – เจค็อบ เมอร์ฟี่, อเล็กซานเดอร์ อิซัก, ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์
ถ้วยรางวัลแรกในรอบ 69 ปี
การคว้าแชมป์คาราบาว คัพ ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นแชมป์รายการนี้รายการแรกของ นิวคาสเซิล เท่านั้น แต่ยังเป็นถ้วยรางวัลใหญ่รายการแรกของสโมสรในรอบ 69 ปี นับตั้งแต่คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ เมื่อปี 1955 ถือเป็นการสิ้นสุดการรอคอยอันยาวนานของแฟนบอล “สาลิกาดง” ที่เฝ้ารอความสำเร็จมาหลายทศวรรษ
สำหรับแฟนบอลนิวคาสเซิลแล้ว ชัยชนะในครั้งนี้มีความหมายมากกว่าแค่ถ้วยรางวัล แต่เป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวัง ภายใต้การบริหารของเจ้าของใหม่ ที่พร้อมจะผลักดันให้สโมสรก้าวขึ้นไปสู่ความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้นต่อไปในอนาคต